...
วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
การกวน การทำแยม และการรมควัน
การกวน คือ
การที่นำเนื้อผลไม้ที่สุกแล้วผสมกับน้ำตาล โดยใช้ความร้อน
เพื่อกวนผสมให้กลมกลืนกัน โดยมีรสหวาน และให้เข้มข้นขึ้น
การใส่น้ำตาลในการกวนมี 2 วิธี คือ ใส่น้ำตาลแต่น้อยใช้กวนผลไม้ เพื่อทำแยม เยลลี่ เป็นต้น และการกวนโดยใช้ปริมาณน้ำตาลมาก เช่น การกวนผลไม้แบบแห้ง เช่น กล้วยกวน สับปะรดกวน ทุเรียนกวน เป็นต้น
การใส่น้ำตาลในการกวนมี 2 วิธี คือ ใส่น้ำตาลแต่น้อยใช้กวนผลไม้ เพื่อทำแยม เยลลี่ เป็นต้น และการกวนโดยใช้ปริมาณน้ำตาลมาก เช่น การกวนผลไม้แบบแห้ง เช่น กล้วยกวน สับปะรดกวน ทุเรียนกวน เป็นต้น
การทำแยม เป็นการต้มเนื้อผลไม้ปนกับน้ำตาลด้วยไฟอ่อนในระยะแรก
แล้วค่อย ๆ เพิ่มไฟขึ้นทีละน้อย หมั่นคนสม่ำเสมอ จนกระทั่งแยมเหนียวตามต้องการ
กล่าวคือ เมื่อใช้ช้อนตักขึ้นแล้ว
การรมควัน เป็นการถนอมอาหารที่ต่างไปจากการ ตากแห้งธรรมดา
นอกจากจะทำให้อาหารแห้งแล้ว ยังช่วยรักษาให้อาหารเก็บได้นาน
มีกลิ่นหอมและรสชาติแปลกซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก
การรมควันที่สามารถทำได้ในครอบครัวจะเป็นแบบธรรมชาติิโดยการสุมไฟด้วยไม้กาบมะพร้าว
ขี้เลื่อย ซางข้าวโพด
ให้แขวนอาหารไว้เหนือกองไฟใช้ไฟอ่อนๆเพื่อให้รมควันอาหารไปพร้อมกับไอร้อนจะช่วยทำให้อาหารแห้งเร็ว
เช่น รมควันปลา เป็นต้น
วิธีถนอมอาหารต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว
ล้วนเป็นภูมิปัญญาไทยที่ทุกครัวเรือนสามารถทำเองได้
และช่วยสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวอีกด้วย
http://signuphowto.blogspot.com/2012/02/blog-post_24.html
การเชื่อม
การเชื่อมเป็นวิธีถนอมอาหาร
โดยอาศัยสารน้ำตาลป้องกันไม่ให้อาหารนั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงบูดเน่าเสียหาย
การถนอมอาหารโดยการเชื่อม 3 วิธี
ดังนี้
1. การเชื่อมแบบธรรมดา อาจเคี่ยวจนน้ำเชื่อมข้นเหนียว
น้ำเชื่อมแทรกซึมเข้าในเนื้อของสิ่งที่เชื่อมแล้วใช้น้ำเชื่อมที่เหลือแช่หล่อไว้อีกชั้นหนึ่ง
เช่น กล้วยเชื่อม สาเกเชื่อม ลูกตาลเชื่อม ขนุนเชื่อม เป็นต้น
หรืออาจเคี่ยวต่อไปจนน้ำเชื่อมแก่จัด เมื่อเย็นลงจะแห้งและแข็งตัว
การเชื่อมแบบธรรมดา
|
2. การถนอมอาหารด้วยการแช่อิ่ม เป็นการถนอมอาหารโดยใช้น้ำตาลปริมาณมาก
คือ นำอาหารมาแช่ในน้ำเชื่อม
และเปลี่ยนเพิ่มความเข้มข้นจนถึงจุดอิ่มตัวแล้วนำมาทำแห้ง มักใช้กับผลไม้ที่มีรสขม รสขื่น หรือรสเปรี้ยวจัด
ทำให้สิ่งนั้นรสจืดลงเสียก่อนโดยวิธีต่าง ๆ เช่น แช่น้ำเกลือ แช่น้ำปูน แช่สารส้ม
เป็นต้น ผลไม้ที่นิยมนำมาแช่อิ่ม เช่น มะม่วง มะขาม มะกอก มะยม เป็นต้น
3. การฉาบ เป็นการนำเอาผักหรือผลไม้ที่ทำสุกแล้ว เช่น เผือกทอด มันทอด กล้วยทอด เป็นต้น วิธีฉาบคือเคี่ยวน้ำตาลให้เป็นน้ำเชื่อมแก่จัดจนเป็นเกล็ด แล้วเทลงผสมคลุกเคล้ากับของที่ทอดไว้ ทิ้งไว้ให้เย็นจนน้ำเชื่อมเกาะเป็นเกล็ดติดอยู่บนผิวอาหารที่ฉาบ
ที่มา : http://signuphowto.blogspot.com/2012/02/blog-post_24.html
การดอง
การดอง โดยใช้จุลินทรีย์บางชนิดที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
โดยจุลินทร์ทรีย์นั้นจะสร้างสารบางอย่างขึ้นมาในอาหาร ซึ่งสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ตัวอื่นๆได้
ดังนั้นผลของการหมักดองจะทำให้อาหารปลอดภัยจากจุลินทร์ทรีย์ชนิดอื่นๆ
และยังทำให้เกิดอาหารชนิดใหม่ๆที่มีลักษณะแตกต่างไปจากเดิม เป็นการเพิ่มกลิ่น
และรสชาติของอาหารให้แปลกออกไป
การถนอมอาหารโดยการดองมีหลายวิธีดังนี้
2.1 การดองเปรี้ยว ผักที่นิยมนำมาดอง เช่น ผักกาดเขียว กะหล่ำปลี ผักเสี้ยน ถั่วงอก เป็นต้น วิธีทำคือนำเอาผักมาเคล้ากับเกลือ โดยผสมน้ำเกลือกบน้ำส้มต้มให้เดือด ทิ้งไว้ให้เย็น นำมาเทราดลงบนผักที่เรียงไว้ในภาชนะ เทให้ท่วมผักปิดฝาภาชนะไม่ให้ลมเข้า หมักทิ้งไว้ 4-7 วัน ก็นำมารับประทานได้
2.2 การดอง 3 รส คือ รสเปรี้ยว เค็ม หวาน ผักที่นิยมดองแบบนี้คือ ขิงดอง กระเทียมสด ผักกาดเขียน การดองชนิดนี้คือ นำเอาผักมาเคล้ากับเกลือแล้วผสมน้ำส้ม น้ำตาล เกลือ ต้มให้เดือด ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาเทราดลงบนผักปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน ก็นำมารับประทานได้
2.3 การดองหวาน ผักและผลไม้ที่นิยมนำมาดอง เช่น มะละกอ หัวผักกาด กะหล่ำปลี เป็นต้น โดยต้มน้ำตาล น้ำส้มสายชู เกลือ ให้ออกรสหวานนำให้เดือดทิ้งไว้ให้เย็น เทราดลงบนผักผลไม้ ทิ้งไว้ 2-3 วัน ก็นำมารับประทานได้
2.4 การดองเค็ม อาหารที่นิยมส่วนใหญ่จะเป็นพวกเนื้อสัตว์และผัก เช่น ปูเค็ม ปลาเค็ม กะปิ หัวผักกาดเค็ม ไข่เค็ม เป็นต้น ต้มน้ำส้มสายชูและเกลือให้ออกรสเค็มจัดเล็กน้อยให้เดือดทิ้งไว้ให้เย็น กรองใส่ภาชนะที่จะบรรจุอาหารดอง แล้วหมักทิ้งไว้ 4-9 เดือนจึงนำมารับประทาน
2.5 การหมักดองที่ทำให้เกิดแอลกอฮอล์ คือการหมักอาหารพวกแป้ง น้ำตาล โดยใช้ยีสต์เป็นตัวช่วยให้เกิดแอลกอฮอล์ เช่น ข้าวหมาก ไวน์ เป็นต้น
การตากแห้ง
การตากแห้ง เป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดมากที่สุด
ใช้ได้กับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ เป็นวิธีที่ทำให้อาหารหมดความชื้นหรือมีความชื้นอยู่เพียงเล็กน้อย
เพื่อไม่ให้จุลินทรีย์สามารถเกาะอาศัยและเจริญเติบโตได้
ทำให้อาหารไม่เกิดการบูดเน่า โดยการนำน้ำหรือความชื้นออกจากอาหารให้มากที่สุด เช่น
เนื้อเค็ม ปลาเค็ม กล้วยตาก เป็นต้น
ก่อนตากแห้งจะต้องล้างให้สะอาด
ถ้าเป็นพวกผักมักลวกด้วยน้ำเดือดเสียก่อน ทำให้หยุดยั้งปฏิกิริยาเคมี
บางรายนิยมนำเอาผลไม้ไปรมควันกำมะถันอ่อน ๆ ก่อนที่จะตากแห้ง
ซึ่งจะช่วยให้มีสีและรสดีขึ้น
ทั้งยังป้องกันไม่ให้เกิดรสเปรี้ยวและช่วยกันไม่ให้แมลงกัดกินอีกด้วย อาหารที่นิยมถนอมโดยการตากแห้ง
มักเป็นประเภทผัก ผลไม้ และเนื้อ เช่น ดีปลี พริก (พริกไทย) เห็ดบางชนิด (เช่น
เห็ดแครงที่ขึ้นตามต้นไม้มะขามที่ล้มตาย เป็นต้น) หมากแห้ง (ฝานก่อนตาม) กล้วยตาก
(กล้วยสุกปอกเปลือกแล้วตากแห้ง) ลูกหยี (ปอกเปลือกแล้วตากแห้ง) ส้มแขก (ผลไม้ชนิดหนึ่ง
ผลกลม หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วตากแห้ง ใช้ในการปรุงอาหาร) เนื้อเค็ม ปลาเค็ม
เป็นต้น
การตากแห้งอาหารประเภทเนื้อ มักใช้เกลือช่วยเพื่อกันการบูดเน่า
และช่วยให้มีรสชาติดีขึ้น เช่น หอยตาก
(หอยน้ำจืดชนิดหนึ่งคล้ายหอยแครงแต่ขนาดเล็กว่า ชอบอยู่ในทะเลสาบ อาจลวกให้สุกด้วยน้ำเกลือที่ร้อนจัด
หรือคลุกเกลือแล้วตากแดด
โดยมากนิยมใช้วิธีหลังจึงเรียกหอยชนิดนี้ตามกรรมวิธีที่นิยมนั้นว่าหอยตาก) ปลาริ้ว
(ปลาช่อนตัวโต ๆ ที่นำมาผ่าเป็นริ้ว ๆ แล้วตากแห้ง) ปลาแห้ง (ปลาเกลือ) เนื้อแห้ง
(เนื้อเค็ม) เคย (กะปิ) บางชนิดต้มให้สุกเสียก่อนแล้วนำมาตากแห้ง
เช่น สารกุ้ง (กุ้งแห้ง) ข้าวเกรียบกุ้ง ข้าวเกรียบปลา เป็นต้น
ที่มา : http://signuphowto.blogspot.com/2012/02/blog-post_24.html
การดูแลเครื่องใช้ดินเผา
เครื่องเรือนที่ทำจากดินเผา
เครื่องปั้นดินเผาหรือเครื่องเคลือบดินเผา
เป็นวัสดุที่ผลิตมาจากดิน โดยเอาดินเหนียวมาผสมกับน้ำแล้วปั้นเป็นรูปร่างนำไปเข้าเตาเผา
และเคลือบน้ำยา เครื่องปั้นดินเผาส่วนใหญ่จะเป็นภาชนะเครื่องใช้ในการประกอบอาหาร
เช่น ถ้วย ชาม อ่าง มีราคาถูก
สิ่งที่ควรปฏิบัติในการใช้เครื่องปั้นดินเผาหรือเครื่องเคลือบ
· การเลือกใช้เครื่องปั้นดินเผาที่เผาสุกเคาะแล้วมีเสียงดังกังวาน
จะใช้งานได้ ทนทาน ไม่เปราะแตกง่าย
· เลือกใช้เครื่องเคลือบดินเผาที่ไม่ตกแต่งสีและลวดลายมาก
จะปลอดภัยจากสี และสารตะกั่วที่ใช้ทำลวดลาย
· การใช้ภาชนะบรรจุอาหาร
ควรเลือกที่เคลือบสีขาว ไม่มีจุดหรือรอยเปื้อนซึ่งเกิดจากความสกปรกขณะที่เคลือบ
หรือนำเข้าเตาเผา ควรเลือกชนิดที่ไม่มีรอยผิวราน เพราะจะทำให้เศษอาหาร น้ำ ซึ่งเข้าไปในเนื้อภาชนะเกิดรอยเปื้อนที่ล้างไม่ออก
หรืออาจเกิดเชื้อราทำให้อาหารที่ใส่ในภาชนะนั้นบูดเน่าเร็ว
วิธีดูแลรักษา
เครื่องเคลือบดินเผามักนำมาใช้บรรจุอาหาร
การดูแลรักษาจึงควรพิถีพิถันเป็นพิเศษ ล้างให้สะอาด แล้วคว่ำไว้ในที่คว่ำชาม
นำออกไปผึ่งแดดให้แห้งทุกครั้ง และหมั่นตรวจดูรอยแจก รอยร้าวที่เกิดขึ้น
ถ้าพบควรรีบคัดภาชนะนั้นออก ไม่นำมาใช้ต่อไป
เพราะรอยร้าวทำให้เศษอาหารเข้าไปสะสมอยู่ ทำให้บูดเน่า เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค
การเก็บรักษา
เมื่อภาชนะเครื่องใช้แห้งดีแล้ว
ควรเก็บเข้าตู้ทันที เพื่อ ป้องกันแมลง และพาหะนำโรค
ที่มา : www.trueplookpanya.com
การดูแลเครื่องเรือนพลาสติก
เครื่องเรือนที่ทำด้วยพลาสติก
|
พลาสติก
ในปัจจุบันได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น เพราะพลาสติกมีคุณสมบัติพิเศษหลายประการ
ได้แก่ มีความเหนียว ทนทาน แข็งแรง น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายได้สะดวก
และสามารถนำไปหลอมกลับมาใช้ใหม่ได้ เครื่องเรือนเครื่องใช้ที่ทำด้วยพลาสติก เช่น
จาน ชาม เก้าอี้ และถุงชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
สิ่งที่ควรปฏิบัติในการใช้เครื่องใช้พลาสติก
1. ควรเลือกเครื่องใช้ที่ทำด้วยพลาสติกใสหรือขาวเพื่อความปลอดภัยจากสีที่
เจือปน
2. ไม่ควรใช้ภาชนะพลาสติกบรรจุอาหารที่ร้อนจัด
เพราะพลาสติกไม่ทนต่อความ
ร้อน
อาจเกิดการสลายตัวปะปนเข้าไปในอาหาร
3. ไม่วางเครื่องใช้พลาสติกไว้ใกล้เตาไฟ
หรือแหล่งความร้อนอื่น เพราะจะทำให้
เกิดการหลอมละลายเสียหาย
วิธีดูแลรักษา
1. ไม่ควรใช้ภาชนะพลาสติกใส่ของร้อนจัดจนเกินไป
เพราะพลาสติกอาจละลาย
เสียรูปทรง
และเป็นอันตรายจากการละลายของสารเคมี
2. พลาสติกที่มีส่วนผสมของสารโพลีไวนีลคลอไรด์
หรือ พีวีซี ใช้ทำขวด หรือ
ของเด็กเล่น
เป็นต้น อาจเป็นอันตรายจากการละลายของสารเคมีที่ไม่ควรนำมาใช้บรรจุของเหลวร้อน
3. การล้างทำความสะอาดพลาสติกประเภทเมลามีน
ใช้ล้างด้วยน้ำสบู่ หรือน้ำ
ผงซักฟอก
เช็ดให้แห้ง เก็บเข้าที่
4. ถ้าภาชนะเปื้อนไขมันคราบไคลต่าง
ๆ ให้ล้างด้วยน้ำอุ่น อย่าใช้ฝอยขัดหม้อที่
เป็นโลหะขัด
เพราะจะทำให้เป็นรอยขูดขีด
5. ถ้ามีกลิ่นอาหารให้ล้างด้วยน้ำส้มสายชู
หรือใช้เปลือกมะนาวถู แล้วล้างออก
ด้วยน้ำสะอาด
การเก็บรักษา
|
เครื่องใช้พลาสติกที่ทำความสะอาดแล้ว
วางซ้อนเก็บในตู้เก็บภาชนะเครื่องใช้ ส่วนเครื่องเรือนวางตั้งในห้องต่าง ๆ ใช้ผ้าคลุมป้องกันฝุ่นละอองหรือเก็บในห้องเก็บของ
ที่มา : www.trueplookpanya.com
การดูแลเครื่องเรือนโลหะ
วัสดุจำพวกโลหะมีคุณสมบัติแข็ง
ขัดเงาขึ้นแวววาว นำความร้อนได้ดี ในสมัยโบราณมีการทำเครื่องมือเครื่องใช้โดยใช้เนื้อโลหะบริสุทธิ์
เช่น เงิน ทองคำ ทองแดง ต่อมามีการพัฒนาเป็นพวกโลหะผสม ซึ่งทำให้มีความเหมาะสมในการใช้ประโยชน์ยิ่งขึ้น
โลหะที่ทำเครื่องใช้ในบ้านของเรา มีดังต่อไปนี้
1. เหล็ก
เครื่องเรือนเครื่องใช้ที่ทำด้วยเหล็ก เช่น มีด จอบ เสียม
และอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านอื่น ๆ มีวิธีดูแลรักษา ดังนี้
· ใช้งานให้เหมาะสมกับประเภทของเครื่องมือ
เช่น มีดสำหรับสับเนื้อ ไม่ควรนำไปฟันไม้ เป็นต้น
· หลังจากใช้แล้วรีบทำความสะอาดทันที
โดยใช้น้ำสบู่ล้างออกจนสะอาด หากสกปรกมากให้ใช้ฝอยขัดหรือแปรงขัด
แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้ง
· ควรทาน้ำมันเคลือบเป็นครั้งคราวเพื่อป้องกันสนิม
· อย่าปล่อยให้เครื่องใช้ที่เป็นเหล็กถูกน้ำนาน
ๆ หรือแช่น้ำนาน ๆ เพราะจะทำให้เป็นสนิม ถ้ามีสนิมขึ้น ให้ใช้ฝอยขัดสนิมให้หมด
เช็ดให้แห้ง ใช้น้ำมันทากันสนิม แล้วเก็บเข้าที่
การเก็บรักษา
|
เครื่องใช้ที่ทำด้วยเหล็ก
เมื่อทำความสะอาดแล้วควรเก็บใส่ซอง ปลอก หรือเก็บไว้ในตู้ที่มิดชิด
ไม่วางไว้ในที่ลมพัดผ่าน เพราะความชื้นจะทำให้เกิดสนิม
2. เครื่องเงิน
เครื่องเรือนเครื่องใช้ที่ทำด้วยโลหะเงิน เช่น ชุดน้ำชา ขันเงิน พาน
โดยธรรมชาติของเครื่องเงิน ถ้าถูกอากาศจะเกิดปฏิกิริยา ทำให้เครื่องเงินหมองคล้ำ
การดูแลรักษาควรปฏิบัติ ดังนี้
· ใช้แล้วเก็บใส่ถุงพลาสติกทันที
· ล้างด้วยน้ำยาขัดเงินโดยเฉพาะ
หรือน้ำมะนาวผสมสบู่ ขัดให้สะอาด แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
· ใช้น้ำอุ่นผสมสบู่ล้าง
แล้วขัดให้สะอาด
· ห้ามใช้ใยขัดโลหะ หรือฝอยขัดหม้อขัดเครื่องเงิน
เพราะอาจทำให้เป็นรอยขีดข่วน และสึกหรอได้
การเก็บรักษา
เครื่องเงินที่นำมาใช้
เมื่อทำความสะอาดแล้วควรเก็บใส่ถุง ใส่กล่อง แล้วนำเก็บเข้าตู้ไม่ให้ถูกอากาศ
3. อะลูมิเนียม
เป็นโลหะชนิดหนึ่งที่มีน้ำหนักเบา ไม่เป็นสนิม จัดทำรูปทรงต่าง ๆ ได้ง่าย
มักนำมาทำภาชนะเครื่องใช้ เช่น หม้อ กระทะ ทัพพี ถาด ขันน้ำ มีวิธีดูแลรักษาดังนี้
· ใช้ฝอยขัดหม้อหรือแผ่นขัด
ขัดให้สะอาด แล้วล้างด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ ห้ามใช้สารเคมีที่เป็นกรดอย่างเข้มข้นขัด
· รอยไหม้บนอะลูมิเนียม
ห้ามใช้ไม้หรือเหล็กแคะ ให้ต้มด้วยน้ำผสมเกลือให้เดือด รอยไหม้จะกะเทาะออกไปเอง หรือใช้ฝอยขัดหม้อขัด
แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
การเก็บรักษา
เมื่อทำความสะอาดแล้ว
ใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง เก็บไว้ในตู้เก็บภาชนะเครื่องใช้
4.
เครื่องแสตนเลส มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ทนความร้อนได้ดี ทนทานต่อความกัดกร่อน
สามารถทำเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้สะดวก ไม่เป็นสนิม และดูแลรักษาง่าย
นิยมใช้ทำภาชนะหุงต้ม ภาชนะในการรับประทานอาหาร อุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น
อ่างล้างชาม เป็นต้น
วิธีดูแลรักษา ใช้ฟองน้ำชุบน้ำผสมผงซักฟอก หรือ
น้ำยาล้างจานขัดถูให้สะอาดคว่ำไว้ แล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง
การเก็บรักษา
เมื่อทำความสะอาดแล้วเช็ดให้แห้งแล้ว
นำไปเก็บไว้ในตู้เก็บภาชนะเครื่องใช้
ที่มา : www.trueplookpanya.com
การดูแลเครื่องเรือนหนัง
เครื่องเรือนที่ทำด้วยหนัง
เครื่องเรือนที่ทำจากหนังมี 2 แบบ คือ แบบหนังเรียบธรรมดา และแบบหนังกลับ
ใช้ทำชุดรับแขก กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด มีวิธีดูแลรักษาตามชนิดของเครื่องหนัง
ดังนี้
1. เครื่องหนังธรรมดา
ให้ทำความสะอาดด้วยการใช้แปรงอ่อน ๆ ปัดฝุ่น หรือสิ่งสกปรกออกให้หมดก่อน
แล้วใช้เศษผ้า ฟองน้ำ หรือแปรงขัดหนัง ขัดให้ทั่ว ต่อจากนั้นให้เช็ดออกด้วยผ้านุ่ม
ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วเก็บเข้าที่
2. หนังกลับ
ทำความสะอาดด้วยการปัดฝุ่นละออง โดยใช้แปรงปัดฝุ่นให้ชนลู่ไปทางเดียวกันเพื่อให้สวยงาม
และระวังอย่าให้ถูกความชื้นและความร้อน เพราะจะทำให้เสียรูปทรง
เริ่มจาจากการใช้ผ้าแห้งชุบน้ำอุ่นหมาดๆมาเช็ดโซฟาหนัง แต่ถ้าเกิดรอยเปื้อนด่างดำให้นำน้ำมันพืชมาหยดในน้ำสบู่2-3หยด จากนั้นใช้แปรงสีฟันไม่ใช้แล้วจุ่มลงไปในส่วนผสมและนำไปถูตรงรอยเปื้อน จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็นและเช็ดให้แห้ง
การเก็บรักษา
เมื่อทำความสะอาดแล้วควรเก็บใส่กล่อง
ถุงผ้า หรือเก็บไว้ในตู้
ที่มา : www.trueplookpanya.com
การดูแลเครื่องเรือนไม้
1. ไม้เนื้อแข็ง
เช่น ไม้สัก ไม้เต็ง ไม้มะค่า ไม้ประดู่ เป็นต้น มักนำมาทำเป็นเครื่องเรือน เช่น
โต๊ะ เก้าอี้ ชั้นวางของ ตู้
วิธีดูแลรักษา
ใช้ไม้กวาดขนไก่ปัดฝุ่นออกให้หมด ใช้ผ้าฝ้ายหรือผ้าขนหนูที่สะอาดชุบน้ำบิดให้หมาด
เช็ดฝุ่นให้สะอาดทุกซอกทุกมุม ทิ้งให้แห้ง หากมีรอยเปื้อนมาก ๆ ขัดออกด้วยกระดาษทราย
ทาขี้ผึ้งแล้วขัดด้วยผ้าแห้ง หรือใช้น้ำยาชักเงาที่ขายสำเร็จรูปฉีดแล้วทิ้งให้แห้ง
ไม่ควรให้เปียกน้ำ
เครื่องเรือนไม้แนื้อแข็ง
2. ไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ไผ่ หวาย
มักนำมาทำเป็นเครื่องเรือน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เตียงนอน ชั้นวางของ
วิธีดูแลรักษา
|
ใช้แปรงหรือไม้กวาดขนไก่ปัดฝุ่นออก
แล้วใช้ผ้าฝ้ายสะอาดชุบน้ำบิดหมาด ๆ เช็ดออก ทิ้งไว้ให้แห้ง ควรฉีดยาฆ่าแมลงเพื่อป้องกันมอด
แล้วนำออกตากแดด ไม่ควรใช้มือเปียกจับเครื่องเรือน เพราะจะทำให้เกิดรอยด่าง ถ้ามีรอยเปื้อนมาก
ๆ ให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำอุ่นให้ทั่ว แล้วขัดด้วยขี้ผึ้ง
การเก็บรักษาเครื่องเรือนที่ทำจากไม้ เมื่อทำความสะอาดแล้วควรผึ่งให้แห้งสนิทเสียก่อน
แล้วจึงนำมาเก็บหรือตั้งไว้ในที่แห้ง ไม่ควรเก็บไว้ในที่ที่มีความชื้นสูง เพราะจะทำให้ขึ้นราได้ง่าย
เครื่องเรือนไม้เนื้ออ่อน
ที่มา : www.trueplookpanya.com
การดูแลบำรุงรักษาต้นไม้
การดูแลบำรุงรักษา
หลังจากได้ปลูกต้นไม้แล้วผู้ปลูกควรคำนึงถึงอันตรายที่อาจจะเกิดกับต้นไม้ในระยะเริ่มแรกที่มีขนาด
หลังจากได้ปลูกต้นไม้แล้วผู้ปลูกควรคำนึงถึงอันตรายที่อาจจะเกิดกับต้นไม้ในระยะเริ่มแรกที่มีขนาด
เล็กยังตั้งตัวไม่ได้ เช่น อันตรายจากสัตว์เลี้ยง ยานพาหนะต่าง ๆ
หากปลูกจำนวนน้อยอาจทำคอกป้องกัน
หรืออาจทำรั้วกั้นเป็นแนวไว้ได้ สำหรับต้นไม้บางชนิดที่ต้องการความเอาใจใส่มากตั้งตัวได้ยากควรจะมีการ
บังแดดให้ในระยะที่ตั้งตัวไม่ได้ อย่างไรก็ตามการปลูกต้นไม้ให้สามารถเจริญเติบโตได้ดีจำเป็นต้องได้รับการ เอาใจใส่ดูแลบำรุงรักษาที่ดีจากผู้ปลูกมากพอสมควร
- ภายหลังการปลูกต้นไม้โดยปกติควรรดน้ำติดต่อกันทุกวันในเวลาเย็นอย่างน้อยวัน ละ 1 ครั้ง ตลอด 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาจให้ลดลงเป็นวันเว้นวัน หรือ 2 วัน ครั้งจนสังเกตเห็นต้นไม้ตั้งตัวได้
หรืออาจทำรั้วกั้นเป็นแนวไว้ได้ สำหรับต้นไม้บางชนิดที่ต้องการความเอาใจใส่มากตั้งตัวได้ยากควรจะมีการ
บังแดดให้ในระยะที่ตั้งตัวไม่ได้ อย่างไรก็ตามการปลูกต้นไม้ให้สามารถเจริญเติบโตได้ดีจำเป็นต้องได้รับการ เอาใจใส่ดูแลบำรุงรักษาที่ดีจากผู้ปลูกมากพอสมควร
- ภายหลังการปลูกต้นไม้โดยปกติควรรดน้ำติดต่อกันทุกวันในเวลาเย็นอย่างน้อยวัน ละ 1 ครั้ง ตลอด 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาจให้ลดลงเป็นวันเว้นวัน หรือ 2 วัน ครั้งจนสังเกตเห็นต้นไม้ตั้งตัวได้
การพรวนดินใส่ปุ๋ยและการกำจัดวัชพืช
วัชพืชเป็นตัวการที่ทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตช้าควรมีการกำจัดวัชพืชโดยการ ถากถาง
และพรวนดินรอบโคนต้นไม้ในรัศมี 1 เมตร ปีละ 2 ครั้ง
ในขณะพรวนดินถ้ามีปุ๋ยวิทยาศาสตร์จะโรยรอบ ๆ โคนต้นประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ
แล้วรดน้ำหรือใส่ปุ๋ยคอกเพิ่มเติมก็ได้
การตรวจดูแลต้นไม้และฉีดยาป้องกันกำจัดโรคและแมลง
ตลอดจนระวังไฟ โดยปกติต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกับมนุษย์ย่อมถูกแมลง โรค เห็ด
รา รบกวนเป็นธรรมดา
การเจริญเติบโตของต้นไม้โดยธรรมชาติมีความแข็งแรงอยู่ในตัวพอสามารถสู้ต้าน
ทานกับโรค แมลงและเห็ดราต่าง ๆ ได้ดีพอสมควร
หากผู้ปลูกช่วยบำรุงรักษาต้นไม้ให้ถูกวิธี
ต้นไม้จะเจริญเติบโตได้รวดเร็วมีความสมบูรณ์เพียงพอที่จะต่อต้านอันตรายจาก
สิ่งเหล่านี้ได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการหมั่นตรวจตราดูแลโรค แมลงที่เกิดกับต้นไม้
และใช้ยาฉีดกำจัดได้ทันเหตุการณ์ในกรณีที่ปลูกเป็นแปลงใหญ่ ๆ จะต้องมีการระวังไฟ
ควรมีการแผ้วถางวัชพืชปีละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย และทำแนวป้องกันไฟล้อมรอบ ถ้าหากปลูกเป็นแนวยาว
เช่น ตามแนวถนนต้องกำจัดวัชพืชที่จะเป็นเชื้อเพลิงในช่วงปลายฤดูฝน
หรือก่อนเข้าฤดูแล้งตลอดแนวทาง การดูแลบำรุงรักษาต้นไม้อย่างเอาใจใส่
และการปลูกต้นไม้จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่การป้องกันให้ต้นไม้พ้นจากอันตราย
จากไฟและอันตรายจากสิ่งแวดล้อมทั้งปวง
อ้างอิง http://www.forest.go.th/nursery/index.php?option=com_content&view=article& id=312&Itemid=415&lang=th
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)